สกร. ผนึก กสศ. เร่งเครื่อง “Zero Dropout” ขับเคลื่อนตามนโยบาย รมว.ศธ. สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กหลุดจากระบบกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) จับมือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ “Zero Dropout” อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และยืนยันหลักการว่า “เด็กทุกคนต้องไม่หลุดจากระบบการเรียนรู้” โดยเน้นการค้นหา ติดตาม และนำเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับบริบทชีวิต
วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือระหว่าง สกร. และ กสศ. ด้านการจัดการศึกษาเพื่อความเสมอภาค โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สกร. อาทิ นางยุพิน บัวคอม และนายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมฯ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ปรึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่ฝ่าย กสศ. นำโดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และคณะ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมสุนทร สุนันท์ชัย กรมส่งเสริมการเรียนรู้
ในการประชุมครั้งนี้ อธิบดี สกร. ได้เน้นย้ำว่า โครงการเห็นได้ชัดถึงความสำคัญของ “Zero Dropout” ซึ่งถือเป็นวาระเร่งด่วนของ สกร. ในการสำรวจ ค้นหา ติดตาม ช่วยเหลือ และส่งต่อเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา ให้สามารถกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ได้อีกครั้งอย่างเหมาะสมกับบริบทชีวิตของแต่ละคน
อธิบดีเกศทิพย์ระบุว่า สกร. มีระบบและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่รองรับเด็กกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบโรงเรียนปกติได้ การจัดการศึกษาที่จะนำมารองรับต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ ยืดหยุ่น และตอบโจทย์ชีวิตจริง เพื่อให้เด็กสามารถกลับมาเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างแท้จริง พร้อมกล่าวว่า ความร่วมมือกับเครือข่ายที่มีความเข้มแข็งอย่าง กสศ. จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการศึกษาบนความขาดแคลนของประเทศให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวถึงพันธกิจหลักของ กสศ. ในการสร้างโอกาสทางการศึกษา ผ่านการค้นหาและเชื่อมโยงข้อมูลเด็กนอกระบบการศึกษา โดยใช้ระบบ Thailand Zero Dropout, Case Management System (CMS) ควบคู่กับแนวคิดการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning) เพื่อให้เด็กสามารถกลับเข้าสู่การเรียนรู้ได้ตามศักยภาพและบริบทชีวิต
ทั้งนี้ กสศ. ได้เสนอกรอบความร่วมมือหลักระหว่าง สกร. และ กสศ. ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษา ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย การคัดกรองเด็กและเยาวชนยากจน และการสนับสนุนทุนการศึกษา แนวทางการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น อาทิ การเทียบโอนหน่วยกิตข้ามสังกัด การพัฒนาทักษะแรงงานนอกระบบโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และการช่วยเหลือเด็กในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงการพัฒนาครู โดยเฉพาะโครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น สกร.” สำหรับครูรุ่นใหม่ และการพัฒนาศักยภาพครู สกร. รุ่นปัจจุบัน
สำหรับโจทย์สำคัญที่ กสศ. เน้นย้ำ คือการค้นหากลุ่มเป้าหมายเด็กนอกระบบให้เข้าถึงได้อย่างครอบคลุม ควบคู่กับการพัฒนากลไกการเทียบโอนหน่วยกิตข้ามสังกัด เพื่อรองรับแนวโน้มจำนวนเด็กที่จะกลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ซึ่งมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ขณะเดียวกัน ในการพัฒนา “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” กสศ. จะจัดทำเกณฑ์การพัฒนาครู สกร. ให้มีความแตกต่างจากครูในระบบโรงเรียนทั่วไป โดยมุ่งเน้นบทบาทครูที่ฝังตัวทำงานในพื้นที่ ช่วยลดการย้ายถิ่นฐานของครู และสร้างความยั่งยืนทางการศึกษาในระดับชุมชน
ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของ สกร. และ กสศ. ในการบูรณาการทรัพยากร องค์ความรู้ และกลไกการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “Zero Dropout” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับเด็กและเยาวชนไทยอย่างแท้จริง